มีประวัติอัจฉริยะท่านหนึ่งที่ผมชอบมาก
“ ไอน์สไตน์ ” อัจฉริยะที่โลกยกย่อง
ตามประวัติในวัยเด็ก ท่านนั้นมีพัฒนาการช้า และถูกคุณครูว่ากล่าวอยู่เสมอ ครูบางคนถึงกับกล่าวว่า “เขามีพัฒนาการช้า ไม่ชอบเข้าสังคม และจมอยู่แต่ในโลกของความโง่งม”
ไอน์สไตน์ เคยถูกเรียกลับหลังว่า “เด็กติงต๊อง” หรือ “เด็กเฉียดปัญญาอ่อน” หรือ “พ่อน่าเบื่อ”
โดยแม่บ้านและพี่เลี้ยงเด็ก ด้วยเหตุผลเพียงเพราะไอน์สไตน์มีพัฒนาการทางการพูดช้ากว่าเด็กทั่วไป เขาเริ่มพูดบ้างเมื่ออายุมากกว่า 2 ขวบไปแล้ว
ในตอนนั้นไม่มีใครคาดคิด
“ เขาจะเติบโตมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ ”
แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดขึ้น เมื่อไอน์สไตน์อายุได้ 5 ขวบ ก็มีเหตุการณ์ประทับใจที่ทำให้เขาจดจำไปชั่วชีวิต นั่นคือ คุณพ่อได้มอบเข็มทิศให้ขณะที่เขากำลังล้มป่วยและนอนซมอยู่บนเตียง
ประกายไฟเล็กๆในหัวใจดวงน้อยๆได้ถูกจุดขึ้น
ไอน์สไตน์รู้สึกทึ่งเหลือเกินว่า ทำไมเข็มทิศถึงได้ชี้ทิศเหนืออยู่ตลอดเวลา? มันต้องมีพลังอะไรสักอย่างที่เรามองไม่เห็น รู้สึกก็ไม่ได้ ที่ทำให้เข็มทิศมีพฤติกรรมเช่นนั้น นี่คือความประทับใจทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกของเขา ซึ่งเชื่อกันว่ามีผลต่อความมุ่งมั่นในการค้นหาสัจจะแห่งธรรมชาติตลอดชั่วชีวิตของเขา
เมื่อไอน์สไตน์ได้รู้ว่าตนเองนั้นมีความสามารถทางคณิตศาสตร์ ก็ได้พัฒนาตนเองให้เรียนรู้อย่างรวดเร็ว เน้นศาสตร์ด้านแคลคูลัส เรขาคณิตวิเคราะห์ ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างแตกฉาน แม้ครอบครัวต้องอพยพไปอยู่ที่อื่นเนื่องจากปัญหาทางธุรกิจ ไอน์สไตน์ก็จำเป็นต้องอยู่ที่เมืองมิวนิกเพียงคนเดียว และมุ่งมั่นที่จะจบหลักสูตรด้วยตนเองเพียงลำพัง
จากเด็กที่เคยถูกสบประมาทว่า “โง่” “เด็กติงต๊อง” หรือ “เด็กเฉียดปัญญาอ่อน”
แต่ในวันนี้เขากลับกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็น “อัจฉริยะ”
ความสงสัยก่อให้เกิดแรงบันดาลใจ
ความมุ่งมั่นเป็นพัฒนาการธรรมชาติของความสำเร็จ
ประเด็นอยู่ที่ว่า…
เราจะเดินช้าหรือเดินเร็ว
มันไม่สำคัญเท่ากับว่า เราเดินไปทางไหน
ถึงแม้เราจะเดินเร็ว แต่ถ้าเดินไปผิดทิศ
ก็ไม่มีวันถึงจุดหมาย
ดังนั้นใครจะว่าเราโง่หรือฉลาด..
ใครจะว่าเราเดินช้าหรือเดินเร็ว…มันไม่สำคัญ
ขอเพียงเรามีแรงบันดาลใจ ที่จะทำในสิ่งที่รัก และรักในสิ่งที่ทำ
ทิศทางนั้น สำคัญกว่าความเร็ว
มุ่งไปให้ถูกทิศ….
แล้วสักวันหนึ่ง ย่อมถึงจุดหมาย..อย่างแน่นอน
cr. OK Nation TV