“อัควารี” ลงแข่งขันในประเภทวิ่งมาราธอนระยะทางกว่า 40 กิโลเมตร ซึ่งจะเริ่มสตาร์ตจากในสนามกีฬา และจากนั้นก็วิ่งออกไปตามเส้นทางนอกสนาม ก่อนที่จะวิ่งรอบสุดท้ายในสนามกีฬาอีกครั้งหนึ่ง
หลังการแข่งขันสิ้นสุดลงมีการมอบเหรียญให้กับคนที่ได้ เหรียญทอง เหรียญเงินและเหรียญทองแดง
ผู้ชมเริ่มทยอยเดินออกจากสนามไม่มีใครรู้ว่าการแข่งขันนั้นยังไม่สิ้นสุด เพราะนักกรีฑาคนสุดท้ายเพิ่งเข้าสู่สนามเวลาตอนนั้น 1ทุ่มตรง
“อัควารี” วิ่งฝ่าความมืดอย่างกระโผลกกระเผลก ขาข้างขวาโชกเลือด...ต้องพันด้วยผ้าพันแผลเขาวิ่งด้วยอาการเหนื่อยหอบ...ความเร็วของเขาช้ากว่าการเดิน
แต่ “อัควารี” ก็ยังวิ่ง…วิ่งวิ่ง และวิ่ง…จนถึงเส้นชัย
เขาได้รับเสียงปรบมือดังลั่นจากผู้คนน้อยนิดที่ยังเหลืออยู่ในสนามผู้สื่อข่าวคนหนึ่งถาม“อัควารี” หลังจากที่เขาเข้าเส้นชัย
“ทำไมคุณถึงไม่เลิกวิ่ง ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า ไม่มีโอกาสชนะ”
คำตอบของ “อัควารี” กลายเป็นประโยคอมตะที่มีคนกล่าวถึงจนทุกวันนี้
“ ประเทศของผมไม่ส่งผมมาแค่ออกสตาร์ตแต่ส่งผมมาเพื่อวิ่งให้สำเร็จ ”
ครับ มีหลายคนที่ออกจากการแข่งขันไปเมื่อรู้ว่าโดนทิ้งห่างเป็นกิโลเมตรแต่ “อัควารี” ไม่หยุดวิ่ง
เป้าหมายของเขาไม่ได้อยู่ที่“ชัยชนะ”
เขาไม่ได้แข่งกับคนอื่น
แต่ “อัควารี” กำลังแข่งขันกับตัวเอง
และทำตามภารกิจที่ประเทศแทนซาเนียมอบให้เขาคือการวิ่งมาราธอนให้ครบ 40 กิโลเมตร
การวิ่งถึง “เส้นชัย” คือ “ชัยชนะ”
แต่ “ชัยชนะ” ไม่ใช่ “เส้นชัย” ของ “อัควารี”
ทุกก้าวของ “จอห์นสตีเฟน อัควารี” นอกจากความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ขา “อัควารี” ก็คงรู้อยู่แล้วว่าเขาโดนคู่แข่งทิ้งห่างไกลเพียงใด และคงมีคำถามในใจมากมายว่า...เขาจะทนเหนื่อยและเจ็บต่อไปเพื่ออะไร
…เพื่อพ่ายแพ้อย่างนั้นหรือ ???
ทางเลือกในใจเขามีมากกว่าหนึ่ง
มากกว่าการวิ่งต่อไป…วิ่งต่อไป…
ทำไมไม่ถอนตัวออกจากการแข่งขัน
อ้างเรื่องบาดเจ็บก็ได้ชาวแซนทาเนียคงไม่ว่าอะไร
ถ้าถอนตัวเขาก็ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเจ็บ
วินาทีนั้น ”คู่แข่ง” ที่สำคัญที่สุดของ“อัควารี”
ไม่ใช่ใครที่ไหน ….แต่เป็น“ตัวเอง”
ความเหนื่อย ความท้อบั่นทอนกำลังใจในการก้าวย่าง
ถ้าใจของเขาคิดแค่ระยะทางที่เหลืออยู่...10 กิโลเมตร 9 กิโลเมตร 7 กิโลเมตร…
เขาคงจะรู้สึกท้อเพราะเส้นทางกว่าจะถึงเส้นชัยนั้นยาวไกลเหลือเกิน
แต่เพราะ “อัควารี” คิดเพียงแค่ก้าวต่อก้าว
สมาธิอยู่ที่ “ปลายเท้า” ....ทุกก้าว คือ ความสำเร็จ
สั่งสมความสำเร็จจาก1 เป็น 2 ... จาก 2 เป็น 3...และสุดท้ายก็ถึง “เส้นชัย”
มีคนเคยบอกว่าคนหลงป่าที่เสียชีวิตนั้น ส่วนใหญ่ไม่ได้เสียชีวิตจากการขาดน้ำและขาดอาหาร แต่ตายเพราะขาด “ความหวัง”
เมื่อปราศจาก “ความหวัง” เป็น “พลัง” ในการก้าวเดินต่อไป เขาจึงยอมแพ้แก่โชคชะตา ไม่หาอาหารไม่คิดหาแหล่งน้ำ ไม่คิดที่จะหาทางออกจากป่า ในที่สุดก็ตรอมใจและสิ้นใจในชีวิตจริงคนจำนวนไม่น้อย ล้วนเคยอยู่ในภาวะ “หลงป่า”
เคยรู้สึกสับสนในอุโมงค์ที่ดำมืดแห่งชีวิต
นึกไม่ออกว่าจะฝ่าฟันออกไปสู่แสงสว่างได้อย่างไรจะไปทางไหนดี
และต้องใช้ระยะเวลาอีกนานเท่าไรจึงจะพบกับ " แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ "
...ขาดกำลังใจ และไร้ความหวัง...
ในภาวะ “หลงป่า” บางคนก็จะนึกถึงแต่“อดีต”
หรือฝันไกลถึง “อนาคต”
ไม่ได้อยู่กับ “ปัจจุบัน” ที่เป็นจริง
ไม่ได้มองที่ปลายเท้าเหมือน“จอห์น สตีเฟน อัควารี”
แข่งขันกับตัวเองและมีความสุขกับทุกก้าวย่าง
“อดีต” คือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว
“อนาคต” คือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
สะสมความสำเร็จไปทีละก้าว
จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปี
จาก 1 ปี เป็น2 ปี…
พึงพอใจกับทุกก้าวย่างของเรา
อย่าลืมว่า…
“ความพ่ายแพ้” ไม่น่ากลัวเท่ากับ “การยอมแพ้”
ใจที่ยอมแพ้จะบั่นทอนกำลังใจของเรามากที่สุดทุกครั้งที่ใจเริ่มยอมแพ้
ให้นึกถึง “จอห์นสตีเฟน อัควารี”
และประโยคอมตะของเขา
“ประเทศไม่ส่งผมมาแค่ออกสตาร์ท แต่ส่งผมมาเพื่อวิ่งให้สำเร็จ”
จากนั้นให้ก้าวต่อไป
ด้วยความหวังและกำลังใจ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น